30 สิงหาคม 2567
สำหรับคนที่รักการท่องเที่ยวและหลงใหลในธรรมชาติ ช่วงปลายฝนต้นหนาวใน เดือนตุลาคม – พฤศจิกายน เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการหลีกหนีจากความวุ่นวายของชีวิตประจำวันและมาสัมผัสกับความงามของธรรมชาติหลังจากสายฝนพรำ ไม่ว่าจะเป็นการเช็คอินที่จุดชมวิวทะเลหมอกที่โรแมนติก สัมผัสอากาศเย็นสดชื่นบนยอดเขา หรือเดินเล่นถ่ายรูปในทุ่งดอกไม้ ทุกประสบการณ์นี้รับรองว่าคุ้มค่ากับการเดินทาง เพราะแต่ละสถานที่นั้นสวยงามดั่งในภาพถ่ายจริงๆ
1. ภูชี้ฟ้า จังหวัดเชียงราย
เป็นหนึ่งในยอดดอยที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยที่สุดในประเทศไทย ที่นี่เป็นจุดชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามอย่างแท้จริง ราวกับภาพวาดที่ถูกนำมาสร้างสรรค์ในชีวิตจริง อากาศในช่วงปลายฝนต้นหนาวกำลังเย็นสบาย ไม่หนาวเกินไป เหมาะสำหรับการนั่งชมวิวอย่างยาวนาน ขอแนะนำให้ขึ้นไปถึงยอดดอยตั้งแต่เวลาตี 5 เพื่อไม่พลาดโอกาสที่จะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าตรู่ เพราะหากไปช้ากว่านั้น อาจจะพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดไปได้
2. ม่อนแจ่ม จังหวัดเชียงใหม่
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพท่ามกลางทุ่งดอกไม้ ม่อนแจ่มคือสถานที่ที่ไม่ควรพลาด ช่วงปลายฝนเป็นเวลาที่ “ทุ่งดอกเวอร์บีน่า” บานสะพรั่งทั่วทั้งภูเขา กลายเป็นภาพที่งดงามด้วยสีม่วงที่สดใส ซึ่งดอกเวอร์บีน่าขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในดอกไม้ที่สวยที่สุดในฤดูฝน เตรียมชุดสวย ๆ มาให้พร้อม แล้วคุณจะได้ภาพที่น่าประทับใจติดกลับไปอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังสามารถชมทะเลหมอกหนาๆ ฟูๆ ที่โอบล้อมภูเขาได้อีกด้วย
3. ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์
ภูทับเบิกเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมในช่วงปลายฝนต้นหนาว นอกจากจะสามารถชมวิวทะเลหมอกที่สวยงามจากบนยอดเขาตลอดทั้งวันแล้ว ช่วงเวลานี้ยังเป็นเวลาที่ทิวทัศน์ของ “กะหล่ำปลีสีเขียว” กระจายอยู่ทั่วทั้งภูทับเบิกเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ ก่อนกลับอย่าลืมแวะชมและถ่ายภาพที่ “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” ซึ่งมีองค์พระสีขาวนั่งลดหลั่นกันอย่างงดงาม รวมถึงเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต ที่ตกแต่งด้วยกระเบื้องสีสันหลากหลาย เครื่องประดับ สร้อย กำไล และถ้วยชามเครื่องเบญจรงค์ สร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับผู้มาเยือนทุกคน
4. ไร่ชาฉุยฟง จังหวัดเชียงราย
ไร่ชาฉุยฟงเป็นจุดท่องเที่ยวที่สวยงามและควรมาเยือนมากที่สุดในช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่ไร่ชาเขียวขจีจะมองเห็นเป็นขั้นบันไดที่เรียงตัวลดหลั่นกันไปบนภูเขา ทำให้ทัศนียภาพดูสวยงามเป็นธรรมชาติและน่าสนใจยิ่งขึ้น ภาพถ่ายจากที่นี่จึงมักจะออกมาดูเก๋และแปลกตา นอกจากนี้ ที่ไร่ชาฉุยฟงยังมี ‘ฉุยฟง ที คาเฟ่’ คาเฟ่ที่มีบรรยากาศดีให้ผู้มาเยือนได้นั่งพักผ่อน จิบชาหอมๆ และลิ้มลองขนมหวาน พร้อมถ่ายรูปไร่ชาจากมุมสูง เพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าประทับใจ
5. ปางอุ๋ง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ปางอุ๋งได้รับสมญานามว่า ‘สวิตเซอร์แลนด์แห่งเมืองไทย’ ด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบและความสวยงามของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยป่าเขียวขจี ซึ่งมักจะปกคลุมด้วยหมอกในยามเช้า สร้างบรรยากาศที่สวยงามและเหมาะสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง ไฮไลท์ของการมาเยือนปางอุ๋งคือการ ‘ล่องแพชมธรรมชาติ’ ซึ่งผู้มาเยือนสามารถเพลิดเพลินกับการพายแพอย่างช้าๆ ตามสายน้ำ และหากโชคดี อาจได้พบกับ ‘หงส์’ ขาวและดำที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ เพิ่มความพิเศษให้กับการท่องเที่ยวที่นี่อีกด้วย
6. สะเมิง จังหวัดเชียงใหม่
อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ มีคำขวัญว่า “สตรอเบอรี่รสเยี่ยม ภูเขาสูงเทียมฟ้า ดอกไม้นานาพันธุ์ บรรยากาศสวิตเซอร์แลนด์” ที่นี่เหมาะสำหรับผู้ที่มาเยือนในช่วงปลายฝนต้นหนาว เพราะสามารถถ่ายภาพกับ “ทุ่งดอกเก๊กฮวย” ที่มีทั้งดอกสีขาวและสีเหลืองได้อย่างสวยงาม หลังจากนั้น แวะพักผ่อนด้วยน้ำเก๊กฮวยเย็นๆ สักขวด ก่อนจะไปเยี่ยมชม “ไร่สตรอว์เบอร์รี่” เพื่อสัมผัสรสชาติสตรอว์เบอร์รี่สดๆ หวานฉ่ำจากต้น นอกจากนี้ยังสามารถซื้อสตรอว์เบอร์รี่เป็นของฝากกลับบ้าน เพื่อสนับสนุนเกษตรกรในท้องถิ่นได้อีกด้วย
7. บ้านรักไทย จังหวัดแม่ฮ่องสอน
บ้านรักไทย ตั้งอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นหมู่บ้านของชาวไทยเชื้อสายจีนยูนนานที่ซ่อนตัวอยู่กลางหุบเขา มีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่กลางหมู่บ้าน ซึ่งในช่วงเช้าจะมีไอหมอกลอยอยู่เหนือผิวน้ำ สร้างบรรยากาศโรแมนติกเสมือนอยู่ในเมืองจีนแท้ๆ ผู้มาเยือนสามารถสัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมจีนฮ่อที่สืบทอดมายาวนานได้ และกิจกรรมไฮไลท์ของที่นี่คือการ “ล่องเรือไม้โบราณ” ชมวิวรอบทะเลสาบแบบชิลๆ ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ พร้อมทั้งเลือกซื้อชาพันธุ์ดี เช่น ชาชิงและชาอู่หลง กลับไปเป็นของฝากได้อีกด้วย
8. เบตง จังหวัดยะลา
เป็นที่ตั้งของแลนด์มาร์คใหม่ที่โดดเด่นและน่าตื่นตาตื่นใจ นั่นคือ “สกายวอล์คอัยเยอร์เวง” ซึ่งตั้งอยู่บนความสูง 2,038 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล โดยมีระเบียงทางเดินยื่นออกไปจากฐานถึง 63 เมตร ที่พิเศษไปกว่านั้นคือพื้นระเบียงเป็นกระจกใส ทำให้สามารถมองเห็นทัศนียภาพเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน ที่นี่จึงกลายเป็นจุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามเทียบเท่ากับที่อื่นๆ
นอกจากนี้ เบตงยังมีจุดชมวิวทะเลหมอกที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง คือ “จุดชมวิวทะเลหมอกฆูนุงซีลีปัต” ที่มีทะเลหมอกหนาทึบให้ความรู้สึกเหมือนลอยอยู่เหนือทะเลหมอกอันกว้างใหญ่สุดสายตา เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติและการชมวิวทะเลหมอกอย่างแท้จริง
แหล่งที่มา : https://www.lifestyleasia.com/bk-th/travel/thailand/end-of-rainy-season-destinations/